ปรากฎการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์

ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์

มนุษย์ได้ให้ความสำคัญกับปรากฏการณ์เกี่ยวกับดวงจันทร์มาตั้งแต่เริ่มต้นอารยธรรม ดังจะเห็นได้ว่าจากการสร้างปฏิทิน การทำนายฤดูการเพาะปลูก การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา  เป็นต้น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ถูกนำมาเชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในชีวิต สังคม หรือ ธรรมชาติรอบข้าง ในกรณีก็เป็นการเชื่อมโยงที่มีความเกี่ยวพันกับธรรมชาติจริงๆ เช่น การทำนายเวลาน้ำขึ้นน้ำลง แต่จำนวนไม่น้อยที่เป็นเพียงการเชื่อมโยงตามความเชื่อ เช่น อุปราคาเป็นลางบอกเหตุแห่งหายนะ หรือการบูชาในคืนวันเพ็ญจะได้กุศลมากกว่าวันอื่นๆ
     ผู้เขียนได้กล่าวถึงลักษณะทางกายภาพของดวงจันทร์ไปแล้วในบทระบบสุริยะ (หน้า 107-108) อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ และการสังเกตดวงจันทร์มีรายละเอียดที่หน้าสนใจหลายประการ ผู้เขียนจึงแยกมากล่าวถึง ได้แก่ เฟสของดวงจันทร์ ปรากฏการณ์สุริยุปราคา  ปรากฏการณ์จันทรุปราคา ปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง และปรากฏการณ์แสงโลก
เฟสและการโคจรรอบโลกของดวงจันทร์

แสงจันทร์สว่างเย็นตาที่เราได้เห็นจากโลก คือ แสงจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนผิวของดวงจันทร์ในระยะเวลาหนึ่งเดือนที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก  ลักษณะปรากฏของดวงจันทร์จึงเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามมุมระหว่างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์เรียกว่า เฟสของดวงจันทร์ (Lunar Phase) หรือวิถีของดวงจันทร์
   ชาวไทยสังเกตเฟสของดวงจันทร์มาตั้งแต่โบราณ สังเกตได้จากการสร้างปฏิทินขึ้นโดยอ้างอิงกับดวงจันทร์ เช่น เดือนเพ็ญ (Full  Moon; ขึ้น 15 ค่ำ หือ เฟส 100 เปอร์เซ็นต์ ) และเดือนมืด (New Moon;  แรม 15 ค่ำ หรือ เฟส 0 เปอร์เซ็นต์) และได้ตั้งขอสังเกตอีกว่าในช่วงข้างขึ้น ด้านสว่างของดวงจันทร์จะหันไปทางทิศตะวันตก และในช่วงข้างแรม ด้านสว่างของดวงจันทร์จะหันไปทางทิศตะวันออกเสมอ
ข้อสังเกตนี้ช่วยให้คนโบราณสามารถสังเกตเฟสของดวงจันทร์เพื่อใช่หาทิศได้อย่างดี
ปรากฏการณ์แสงโลก
เหตุใดด้านสว่างของดวงจันทร์จึงหันไปทางตะวันตกในช่วงข้างขึ้นและหันไปทางตะวันออกในช่วงข้างแรม
   ในช่วงข้างขึ้นดวงจันทร์จะปรากฏอยู่ทางตะวันออกของดวงอาทิตย์เมื่อโลกหมุนไป ดวงอาทิตย์จึงตกลับขอบฟ้าไปก่อนดวงจันทร์ เราจึงเห็นดวงจันทร์ทางทิศตะวันตกในช่วงค่ำ โดยด้านสว่างของดวงจันทร์ คือ แสงที่สะท้อนมาจากดวงอาทิตย์ที่ตกลับขอบฟ้าไปแล้ว ด้านสว่างของดวงจันทร์จึงหันไปทางทิศตะวันตก
ในช่วงข้างแรมดวงจันทร์จะปรากฏอยู่ทางตะวันตกของดวงอาทิตย์เมื่อโลกหมุนไปดวงจันทร์จึงขึ้นจากขอบฟ้าของผู้สังเกตก่อนดวงอาทิตย์ เราจึงจะเห็นดวงจันทร์ทางทิศตะวันออกในช่วงเช้าโดยด้านสว่างของดวงจันทร์จึงขึ้นจากขอบฟ้าของผู้สังเกตก่อนดวงอาทิตย์ เราจึงเห็นดวงจันทร์ทางทิศตะวันออกในช่วงเช้าโดยด้านสว่างของดวงจันทร์ คือ แสงที่สะท้อนมาจากดวงอาทิตย์ที่ยังไม่ขึ้นจากขอบฟ้า ด้านสว่างของดวงจันทร์จึงหันไป
   การโคจรรอบโลกของดวงจันทร์ทำให้ดวงจันทร์เคลื่อนที่ไปทางตะวันออกของทรงกลมท้องฟ้าวันละ 13 องศา เมื่อเทียบกับดวงฤกษ์ที่เป็นฉากหลัง ดังนั้นในแต่ละวันดวงจันทร์จะขึ้นจากขอบฟ้าช้าขึ้นประมาณ 50 องศา เช่น หากวันนี้ดวงจันทร์ขึ้นเวลา 12.00 นาฬิกา เราสามารถประมาณได้ว่าวันพรุ่งนี้ดวงจันทร์จะขึ้นในเวลาประมาณ 20.50 นาฬิกา
หนึ่งเดือนเท่ากับกี่วัน
   ระยะเวลา หนึ่งเดือนสามารถอ้างอิงได้หลายแบบ คือ 1. เดือนตามปฏิทิน 2. เดือนดาราคติ และ 3. เดือนจันทรคติ
   เวลาหนึ่งเดือนตามปฏิทิน (Calendar Month) คือ ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย ซึ่งเป็นเวลา 30 หรือ 31 วัน (28 หรือ 29 วันในเดือนกุมภาพันธ์)
   อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาหนึ่งเดือนตามปฏิทินนั้นไม่ตรงกับเวลาที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลกครบรอบ ซึ่งอ้างอิงโดยการเทียบตำแหน่งของดวงจันทร์กับดาวฤกษ์ฉากหลังที่อยู่ไกลออกไป เมื่อดวงจันทร์โคจรจากตำแหน่งที่จุด A ไปยังตำแหน่งที่จุ B ในภาพด้านล่าง ภาพของดวงจันทร์จะปรากฏอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมเทียบกับดาวฤกษ์ฉากหลัง ระยะเวลานี้จึงเรียกว่า เดือนดาราคติ (Sidereal  Month) หรือ *เดือนอ้างอิงโดยดวงดาว* คิดเป็นระยะเวลา 27.322 วัน
   อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ดวงจันทร์โคจรรอบโลก โลกก็โคจรไปรอบดวงอาทิตย์เช่นกัน เมื่อดวงจันทร์โคจรรอบโลกครบรอบ มุมระหว่างโลก ดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ก็ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เฟสของดวงจันทร์จึงยังไม่ปรากฏเช่นเดิมดวงจันทร์จะต้องโคจรไปอีกเล็กน้อย (จากจุด B ไปยังจุด C ) จึงปรากฏเฟสเดียวตำแหน่ง A ช่วงเวลาจากการที่ดวงจันทร์เฟสไดๆ ไปจนถึงการปรากฏเฟสนั้นๆ ครั้งต่อไป (เช่น ในภาพด้านล่างคือระยะเวลาจากเดือนมืดถึงเดือนมือครั้งต่อไป) เรียกว่า เดือนจันทรคติ (Synodic Month) หรือ *เดือนอ้างอิงโดยเฟสของดวงจันทร์* คิดเป็นระยะเวลา 29.531 วัน
   ดวงจันทร์หันซีกเดียวของผิวโลกเสมอ เพราะดวงจันทร์หมุนรอบตัวเองในเวลาเท่ากับที่ใช้โคจรรอบโลกพอดี เราเรียนด้านที่ดวงจันทร์หันเข้าหาโลกว่า ด้านใกล้ (Near Side) และหันหน้าออกโลกว่า ด้านไกล (Far Side) อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรสับสนกับคำว่า ด้านมืดหรือ ด้านสว่างของดวงจันทร์ เนื่องจากไม่มีด้านใดของดวงจันทร์ที่มืดหรือสว่างอย่างถาวร ดวงจันทร์ทั้งดวงได้รับแสงจากดวงอาทิตย์เท่าๆกัน ตลอกเวลาที่โคจรรอบโลก เพียงแต่ผู้สังเกตบนโลกไม่สามารถมองเห็นอีกด้านหนึ่งของดวงจันทร์ได้เท่านั้น
เฟสของดวงจันทร์ และการทำนายฤดูการเพาะปลูกของชาวแอฟริกากลาง
   ชาวแอฟริกากลางตั้งแต่หลายพันปีก่อนคริสตกาล ได้ทำนายฤดูเพาะปลูกจากการสังเกตมุมที่เฟสของดวงจันทร์เสี้ยวเอียงจากแนวขอบฟ้าซึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆตลอดปี นับเป็นความบังเอิญอย่างยิ่งที่เฟสของดวงจันทร์จะทำมุมราบลงถึง 0 องศา กับขอบฟ้าในช่วงฤดูฝนพอดี (สังเกตกราฟปริมาณน้ำฝนและมุมที่เฟสของดวงจันทร์ทำกับขอบฟ้าจากภาพด้านบน) ทำให้ชาวแอฟริกากลางโบราณที่ยังไม่มีระบบปฏิทินบอกเวลา สามารถเริ่มเตรียมการเพาะปลูกได้โดยสังเกตจากมุมเฟสของดวงจันทร์ที่ทำมุมชันที่สุดในช่วงเดือนมีนาคมและราบลงเรื่อยๆเมื่อเข้าฤดูฝน
อุปราคา
   ปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์เรียงตัวอยู่ในเส้นตรงเดียวกันเรียกว่า อุปราคา  (Eclipse) ซึ่งเกิดขึ้นได้ 2 ลักษณะ คือ สุริยุปราคา และ จันทรุปราคา (Lunar Eclipse)
   สุริยุปราคา (Solar Eclipse) คือ ปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์โคจรเข้ามาอยู่ ณ ตำแหน่งระหว่างโลกและดวงอาทิตย์ ซึ่งผู้สังเกตในบริเวณเล็กๆ บนผิวโลกในส่วนที่เงาของดวงจันทร์ทอดผ่านจะเห็นดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ได้หมดดวงเรียกว่า ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง (Total Solar Eclipse) การบังนี้เกิดขึ้นได้แม้ว่าดวงจันทร์จะมีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์ถึง 400 เท่า เนื่องจากดวงอาทิตย์อยู่ห่างจากโลกมากกว่าดวงจันทร์ 400 เท่าเช่นกัน ขนาดปรากฏของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์บนท้องฟ้าจึงมีขนาดเท่ากันพอดี
   ในขณะที่เกิดสุริยุปราคาเต็มดวง บรรยากาศชั้นโพโตรเฟียร์ จะถูกบดบังโลกทั้งหมดทำให้สามารถสังเกตปรากฏการณ์ต่างๆ ในบรรยากาศชั้นโครเฟียร์และบรรยากาศชั้นโคโรนาได้ ในสถาวะปกติเราจะไม่สามารถสังเกตบรรยากาศสองชั้นนี้ได้เลยเนื่องจากทั้งสองมีแสงสว่างน้อยมากเมื่อเทียบกับชั้นโฟโตรเฟียร์ แต่ขณะปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง บรรยากาศชั้นโคโรนาจะปรากฏเป็นรัศมีสีงาช้างอยู่โดยรอบของวงกลม
สีดำสนิดของดวงจันทร์ อันเป็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่งดงามและน่าตื่นตาตื่นใจที่สุดปรากฏการณ์หนึ่งที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง
   ภาพปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง สังเกตลักษณะของโคโรนาและเปลวสุริยะขนาดเล็กด้านบนของภาพ
   ภาพปรากฏการณ์แหวนเพชร (Diamond Ring Effect) จะเกิดขึ้นในเวลาเสี้ยววินาทีก่อนเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวง ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากการที่แสงเสี้ยวสุดท้ายจากดวงอาทิตย์ลอดผ่านหลุมอุกกาบาตลึกบนผิวดวงจันทร์มายังโลก ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะถูกดวงจันทร์บังทั้งดวง
   ในกรณีที่ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกออกไปมากกว่า 1 ใน 400 เท่าของระยะห่างจากโลกและดวงอาทิตย์ (ดวงจันทร์โคจรรอบโลกเป็นวงรีที่มีความรีน้อยๆ แต่มิใช่วงกลมเสียทีเดียว จึงมีการเปลี่ยนแปลงระยะห่างในวงโคจรเล็กน้อยอยู่ตลอดเวลา) ภาพของดวงจันทร์เจเล็กเกินกว่าที่จะบังดวงอาทิตย์ได้ทั้งดวงแม้ว่าตำแหน่งจะมาซ้อนทับกันพอดี จึงเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน (Annular Solar Eclipse) ซึ่งจะเห็นภาพขอบของดวงอาทิตย์ที่ดวงจันทร์บังไม่มิดเป็นวงแหวนบาง แต่แสงจากส่วนวงแหวนบางนี้ก็ยังสว่างจนบดบังบรรยากาศชั้นบรรยากาศอื่นๆไปหมด ทำให้มีโอกาสย้อยมากที่จะสังเกตบรรยากาศชั้นโครโมสเฟียร์หรือโคโรนาได้
ปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน
   ภาพปรากฏการณ์สุริยุปราคาวงแหวน เกิดจากการที่ดวงจันทร์อยู่ห่างจากโลกมากเกินกว่าที่จะสามารถบังดวงอาทิตย์พอดี ขอบของดวงอาทิตย์จึงปรากฏให้เห็นได้รอบข้าง
   ในภาพด้านซ้าย ดวงจันทร์มีขนาดเล็กกว่าดวงอาทิตย์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ภูเขาสูงบนดวงจันทร์จึงสามารถบังแสงอาทิตย์ได้บางส่วน (ทำให้วงแหวนขาดเป็นช่วงๆ)
   ผู้สังเกตที่อยู่นอกแนวที่เงามืดของดวงจันท์ทอดผ่านจะเห็นดวงอาทิยร์ถูกบดบางไปบางส่วนเรียกว่าปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วน (Partial Solar Eclipse) ซึ่งจะเห็นดวงอาทิตย์เป็นเสี้ยวเว้าแหว่งไป
   ดังเช่นเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ.1995 (พ.ศ.2538) ขณะที่เกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงพาดผ่านภาคกลางและส่วนหนึ่งของภาคอีสาน กรุงเทพมหานครซึ่งอยู่ทางใต้ของแนวเงามืดของดวงจันทร์ประมาณ 100 กิโลเมตรจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกดวงจันทร์บังไปประมาณ 96.1 เปอร์เซ็นต์ และจังหวัดที่อยู่ทางภาคใต้ที่อยู่ห่างจากแนวเงามืดออกไปจะเห็นดวงอาทิตย์ถูกบังไปน้อยกว่ากรุงเทพ เช่น จังหวัดชุมพร (85.2 เปอร์เซ็นต์) หรือ จังหวัดนราธิวาส (77.7 เปอร์เซ็นต์)
   การเกิดปรากฏการณ์สุริยุปราคาส่วนใหญ่ เงามืดของดวงจันทร์จะไม่ทอดลงบนโลกพอดี ผู้สังเกตบนโลกจึงสังเกตได้เพียงปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วนเท่านั้น ดังนั้น ปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วนจึงมีโอกาสเกิดได้บ่อยกว่าปรากฏการณ์สุริยุปราคาแบบอื่นๆมาก


สุริยุปราคาบางส่วน
   ภาพปรากฏการณ์สุริยุปราคาบางส่วน ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบังดวงอาทิตย์มากที่สุดถึงจุดหนึ่งและเคลื่อนออก ความ ลึก ของการบังสามารถวัดได้เป็นค่าร้อยละของรัศมีของดวงอาทิตย์ที่จุดศูนย์กลางของภาพดวงจันทร์เคลื่อนเข้ามาบังมากที่สุด
   ภาพแถวบนเป็นภาพขณะที่ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนเข้าบัง และภาพแถวล่างเป็นภาพขณะที่ดวงจันทร์กำลังเคลื่อนที่ออก
จันทรุปราคา (Lunar Eclipse) คือ ปรากฏการณ์ที่ดวงจันทร์โคจรเข้ามาอยู่ในเงาของโลก หรืออยู่ หลังโลก เมื่อมองจากดวงอาทิตย์ ผู้สังเกตบนโลกจึงเห็นดวงจันทร์ค่อยๆ หายลับไปในส่วนโค้งของเงาของดลกจนหมดดวง
   การสังเกตปรากฏการณ์จันทรุปราคาช่วยให้อริสโตเติล (Aristotle) นักปราชญ์ชาวกรีสในช่วงปี 384-322 ก่อนคริสตกาล สรุปได้ว่าโลกมีลักษณะเป็นทรงกลม มิใช่เป็นแผ่นตามความเชื่อที่มีมาแต่โบราณ เพราะหากโลกมีลักษณะเป็นแผ่นจริง เงาของโลกที่บังดวงจันทร์ขณะเกิดจันทรุปราคาจะต้องปรากฏให้เห็นเป็นรูปร่างอื่นๆ นอกจากวงกลมเป็นครั้งคราว (เช่น เป็นแผ่นบาง)
ดวงจันทร์ในเงามืดของโลก
   ภาพถ่ายชุดการเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง สังเกตขนาดของเงาของโลกที่ทอดไปในอวกาศเปรียบเทียบกับดวงจันทร์
   ปรากกการณ์จันทรุปราคามักเกิดขึ้นนานนับชั่วโมงเพราะเงาของโลกมีขนาดใหญ่มาก ต่างจากปรากฏการณ์สุริยุปราคาเต็มดวงที่เกิดขึ้นได้นานที่สุดเพียง 7 นาที 31 วินาที และสุริยุปราคาวงแหวนซึ่งเกิดได้นานที่สุด 12 นาที 30 วินาทีเท่านั้น
ปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง
   ปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง (Tides) เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากแรงดึงดูดของดวงจันทร์ ที่กระทำต่อบริเวณต่างๆ ของโลกไม่เท่ากัน ทำให้น้ำบนผิวโลกในบริเวณที่อยู่ในแนวเดียวกับดวงจันทร์ โป่งออกจากผิวโลก
   จากปรากฏการณ์แรงโน้มถ่วงของนิวตัน แรงโน้มถ่วงจะลดน้อยลงตามปัจจัยระยะห่างหำลังสอง เช่น หากเดินทางออกห่างจากดวงจันทร์ 2 เท่าของระยะห่างเดิม แรงโน้มถ่วงที่ได้รับจากดวงจันทร์จะลดลง 4 เท่า (เหลือ 1 ใน 4 ของแรงที่ระยะเดิม) การที่แรงโน้มถ่วงลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อระยะห่างเพิ่มขึ้นทำให้แรงโน้มถ่วงที่ได้รับจากดวงจันทร์จากคนละซีกของโลก (ห่างกันประมาณ 12.000 กิโลเมตรต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ความแตกต่างของแรงนี้ทำให้น้ำบนผิวโลกบริเวณที่ใกล้ดวงจันทร์มากที่สุดถูกดึงให้โป่งออกจากผิวโลก (จุดAในภาพด้านล่าง) ในขณะเดียวกันน้ำ ณ บริเวณตรงข้าม (จุดB) ก็โป่งออก เช่นกัน เพราะไม่สามารถ ตามโลกที่ถูกดูดไปด้วยแรงมากกว่าได้
แรงกระทำเนื่องจากโน้มถ่วงของดวงจันทร์ที่ระยะห่างต่างๆบนโลก
   ลูกศรในภาพแสดงขนาดและทิศทางของแรงกระทำเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ (ภาพจำลองใช้ขนาดเกินกว่าความจริงเพื่อให้เห็นได้ชัดเจน) ตำแหน่ง A และตำแหน่ง B อยู่ห่างกัน 12.000 กิโลเมตร แรงจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัดเป็นที่มาของปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง
   การโป่งของน้ำทั้งสองบริเวณ ทำให้ผู้ที่อยู่ในบริเวณ A และ B สังเกตเห็นน้ำขึ้น ในขณะที่ผู้อยู่ในจุด C และ D จะสังเกตเห็นน้ำลง (เส้นประ คือ ระดับน้ำทะเลปานกลาง)
   การหมุนรอบตัวเองของโลกทำให้บริเวณที่อยู่ในแนวเดียวกับดวงจันทร์ผลัดเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เช่น จุด C และ D จะเลื่อนมาอยู่ในแนวดวงจันทร์ในเวลา 6 ชั้วโมงต่อมา ดังนั้น ตำบลใดๆ บนโลกจึงเคลื่อนที่ผ่านแนวระหว่างดวงจันทร์และโลกวันละ 2 ครั้งเสมอ (ครั้งแรกที่ด้านใกล้และครั้งต่อมาที่ด้านไกล) ทกให้เกิดปรากฏการณ์น้ำขึ้นสูงสุดและน้ำลงต่ำสุดวันละ 2 ครั้ง โดยเวลาที่น้ำขึ้นสูงสุดและน้ำลงต่ำสุดจะช้าไปวันละประมาณ 50 นาที เช่นเดียวกับเวลาจันทร์ขึ้นจากขอบฟ้า
แรงไทดอล
   แรงไทดอล (Tidl Force) คือ แรงเสมือนที่เกิดจากความต่างของแรงโน้มถ่วงที่กระทำต่อบริเวณต่างๆของวัตถุไม่เท่าเทียมกัน (ตัวอย่างในภาพหน้า 186) ตัวอย่างที่สุดของแรงไทดอล คือ ปรากฏการณ์น้ำขึ้น-น้ำลง ซึ่งเป็นแรงไทดอลที่เกิดจากความแตกต่างของแรงโน้มถ่วงจากดวงจันทร์ ดึงน้ำและโลกไม่เท่ากัน
   ในกรณีที่วัตถุที่ออกแรงโน้มถ่วงมีขนาดใหญ่มาก แรงไทดอลจะรุนแรงมากขึ้นด้วย เช่น กลไกความร้อนไทดอล (Tidal Heating) บนดวงจันทร์ไอโอของดวงพฤหัสบดี (หน้า126) ซึ่งเกิดจากที่แต่ละด้านของดวงจันทร์ไอโอได้รับแรงโน้มถ่วงจากดาวพฤหัสบดีต่างกันมาก ทกให้ภายในของดวงจันทร์ไอโอเกิดการบิดเบี้ยวและเสียดสีกันจนมีความร้อนเกิดขึ้น หากดวงจันทร์ไอโอโคจรเข้าไกลดาวพฤหัสบดีอีกเล็กน้อย แรงไทดอลจะไม่เพียงทำให้การบิดเบี้ยว แต่จะฉีกดวงจันทร์ไอโอออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นักดาราศาสตร์เชื่อว่าวงแหวนของดาวเสาร์เกิดขึ้นจากกระบวนการนี้
   ตัวอย่างของปรากฏการณ์จากแรงไทดอลที่น่าสนใจอีกตัวอย่างหนึ่ง คือ แรงไทดอลที่บริเวณใกล้กับหลุมดำยักษ์ในแก่นดาราจักรกัมมันตะ (หน้า 287) ซึ่งฉีกดาวฤกษ์ออกธารพลาสมาไหลวนสู่หลุมดำ
ปรากฏการณ์แสงโลก
   หากมองดูดวงจันทร์ในวันที่ดวงจันทร์ปรากฏเป็นเสี้ยวบาง (เช่น ในวันขึ้น 1 – 3 ค่ำ หรือ แรม 12 -14 ค่ำ) เราจะเห็นแสงเรื่อๆ จากด้านมืด (ด้านกลางคืน) ของดวงจันทร์ แสงนี้ไม่ใช่แสงจากดวงอาทิตย์โดยตรง เพราะด้านกลางคืนของดวงจันทร์ย่อมไม่มีแสงอาทิตย์ส่องสว่าง แต่เป็นแสงของดวงอาทิตย์ที่สะท้อนผิวโลกไปยังดวงจันทร์และสะท้อนกลับมายังผู้สังเกตบนโลกอีกต่อหนึ่งเรียกว่า แสงโลก (Earthshine)
การเกิดปรากฏการณ์แสงโลก
   ปรากฏการณ์แสงโลกเกิดจากแสงอาทิตย์ที่สะท้อนกับผิวโลกไปยังดวงจันทร์ และสะท้อนกลับมายังผู้สังเกตบนโลกอีกต่อหนึ่ง ทำให้ผู้สังเกตบนโลกเห็นแสงจางๆ จากด้านกลางคืนของดวงจันทร์
   แสงนี้มีการบันทึกและอธิบายสาเหตุไว้เป็นครั้งแรกโดย ลีโอนาโด ดา วินซี (Leonardo do Vinci) ศิลปินและนักระดิษฐ์ชาวอิตาลีในช่วงปี ค.ศ. 1506-1510
   ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นักอุตุนิยมวิทยาหลายกลุ่มกำลังวัดและเก็บข้อมูลความสว่างของแสงโลกแปรผันโดยตรงกับความสามารถในการสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ไปยังดวงจันทร์ เป็นดัชนีที่สะท้อนให้เห็นบรรยากาศได้เป็นอย่างดี

7 ความคิดเห็น: